พลังงานสะอาดสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

บริษัทตระหนักถึงความเสี่ยงและผลกระทบทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ว่าจะเป็น วาตภัย อุทกภัย ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และความแห้งแล้งที่ทวีความรุนแรงและมีความถี่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภัยพิบัติดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งการขาดแคลนน้ำในกระบวนการผลิตหรือความเสียหายของเครื่องจักรและระบบสาธารณูปโภค นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการใช้พลังงานที่ไม่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) ผ่านการผลิตพลังงานจากพลังงานหมุนเวียน อันจะเป็นส่วนช่วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

บริษัทตระหนักถึงความเสี่ยงและผลกระทบทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ว่าจะเป็น วาตภัย อุทกภัย ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และความแห้งแล้งที่ทวีความรุนแรงและมีความถี่เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภัยพิบัติดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ทั้งการขาดแคลนน้ำในกระบวนการผลิตหรือความเสียหายของเครื่องจักรและระบบสาธารณูปโภค นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการใช้พลังงานที่ไม่ทำให้เกิดคาร์บอนไดออกไซด์ (Decarbonization) ผ่านการผลิตพลังงานจากพลังงานหมุนเวียน อันจะเป็นส่วนช่วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภายในประเทศและตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

ปัจจุบันประชาคมโลกให้ความสนใจต่อประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอันเนื่องมาจากกิจกรรมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมนุษย์ จึงได้ก่อตั้งกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change: UNFCCC) ขึ้น โดยจากกรอบอนุสัญญาฯ ดังกล่าว จึงเกิดแนวทาง ข้อกำหนด และการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ รายงานการประเมินครั้งที่ 6 (The Sixth Assessment Report หรือ AR6)จากคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change หรือ IPCC) ระบุว่า “การตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปีพ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) นั้น สายเกินไปในการควบคุมอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับยุคก่อนปฏิบัติอุตสาหกรรม ภายในปีพ.ศ. 2643 (ค.ศ. 2100) ซึ่งเป็นจุดที่มนุษย์ไม่สามารถฟื้นฟูผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศให้กลับมาสู่สภาพเดิมได้” ผลการศึกษาดังกล่าวส่งผลนานาประเทศมีการปรับเปลี่ยนเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

อย่างไรก็ตาม หลังจากการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (The UN Climate Change Conference in Glasgow, COP26) ที่มีประเด็นในการประชุม 3 ประเด็น อันได้แก่ 1) การยกระดับเป้าหมายการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก 2) การปรับตัวสำหรับการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาสที่ทวีความรุนแรงขึ้น และ 3) กลไกการสนับสนุนทางการเงิน เทคโนโลยีและองค์ความรู้ต่างๆ จากประเทศพัฒนาแล้วสู่ประเทศกำลังพัฒนา จนเกิดเป็นข้อตัดสินใจที่เรียกว่า “Glasgow Climate Pact” เพื่อดำเนินการสนับสนุนมติต่าง ๆ ที่ได้จากการประชุมทั้ง 3 ประเด็น โดยประเทศไทยในฐานะหนึ่งในประเทศภาคีสมาชิก ได้ประกาศการมีส่วนร่วมที่ประเทศกำหนด (National Determined Contributions: NDCs) โดยจะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 40 ภายในปีพ.ศ. 2573 มากไปกว่านั้นประเทศไทยจะก้าวสู่การเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปีพ.ศ. 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปีพ.ศ. 2608 โดยสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) เป้าหมายที่ 13: การรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate action) อีกด้วย

นอกจากนี้ การประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 (The UN Climate Change Conference in Dubai, COP28) ได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายการรักษาระดับไม่ให้อุณหภูมิพื้นผิวโลกเพิ่มเกิน 1.5 องศาเซลเซียส ซึ่งปัจจุบันการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อบรรลุเป้าหมายดังกล่าว จึงจะต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกลง ร้อยละ 43 ภายในปี 2573 (2030) และร้อยละ 60 ภายในปี 2578 (2035) ผ่านมาตรการหลัก คือ การเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนทั่วโลกเป็น 3 เท่า และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานเป็น 2 เท่า ภายในปี 2573 (2030)

ดังนั้น ในฐานะที่บริษัทฯ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมโลก และผู้ผลิตพลังงาน มีความมุ่งมั่นและยินดีในการสนับสนุนส่งเสริมและให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ท้าทายอย่างเคร่งครัด โดยมีนโยบายและแนวทางการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศดังนี้

แนวทางการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

บริษัทฯ กำหนดนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อให้ทุกหน่วยงานตลอดห่วงโซ่อุปทานของกลุ่มจีพีเอสซี นำไปประยุกต์ใช้ในการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่ช่วงการวางแผน ออกแบบ ดำเนินการ ตลอดจนสิ้นสุดการดำเนินงาน

โครงสร้างการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

คณะกรรมการของ SpringX โดยคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืนและคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงมีหน้าที่รับผิดชอบดูแลความเสี่ยงและโอกาสที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศและกระบวนการต่าง ๆ ได้แก่

  • นโยบายการบริหารความเสี่ยงและนโยบายเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ
  • แผนธุรกิจ กลยุทธ์ด้านสภาพภูมิอากาศ และแผนปฏิบัติการ
  • วัตถุประสงค์และเป้าหมายการจัดการสภาพภูมิอากาศ
  • ความคืบหน้าในการบริหารจัดการด้านสภาพภูมิอากาศเพื่อมุ่งสู่การบรรลุเป้าหมาย
  • งบประมาณประจำปี รายจ่ายด้านทุน การซื้อกิจการ และการขายกิจการ

การรายงานความคืบหน้าด้านสภาพภูมิอากาศมีกำหนดการในการประชุมคณะกรรมการอย่างน้อยปีละครั้ง ซึ่งมีกำหนดการในการประชุมบางไตรมาสสำหรับคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และมีกำหนดการประชุมทุกไตรมาสสำหรับคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการและความยั่งยืน

แผนผังโครงสร้างคณะทำงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

นอกจากนี้ คณะกรรมการจัดการของบริษัทฯ ยังได้แต่งตั้ง คณะกรรมการกลุ่มงานกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของกลุ่มบริษัทฯ (SpringX) ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการบริหารจัดการนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของกลุ่มบริษัทฯ โดยตรง ซึ่งได้แต่งตั้งคณะทำงานสนับสนุนและผลักดันการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (GPSC Group Climate Change Strategy Task Force) เพื่อดำเนินโครงการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และคณะทำงานย่อยสนับสนุนและผลักดันการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (GPSC Group Climate Change Strategy Task Force) เพื่อสนับสนุนแผนการดำเนินงานของคณะทำงานหลัก โดยบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการกลุ่มงานฯ คณะทำงานฯ และคณะทำงานย่อยฯ มีรายละเอียดดังนี้

คณะกรรมการกลุ่มงานกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของกลุ่มบริษัทฯ

  • พิจารณาเห็นชอบนโยบาย เป้าหมาย ขอบเขต แผนกลยุทธ์ ทิศทางการป้องกันและแนวทางการ บรรเทา รับมือ ผลกระทบด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล (SDG เป้าหมายที่ 13) รวมทั้ง เป้าหมายของประเทศและกลุ่มบริษัทฯ
  • ผลักดันและสนับสนุน ให้ความเห็น เสนอแนะเกี่ยวกับการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศของกลุ่มบริษัทฯ ให้สอดคล้องกับแผนกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนการจัดเก็บข้อมูลและจัดทำรายงานที่เกี่ยวข้องให้เป็นไปตามมาตรฐานสากลรองรับการตรวจประเมินจากผู้ทวนสอบภายอก
  • ผลักดันและสนับสนุนให้มีการสร้างองค์ความรู้ ความตระหนัก การแลกเปลี่ยนความรู้ และ ประสบการณ์ภายใน รวมถึงการสื่อ ประชาสัมพันธ์ และสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก
  • ติดตามและทบทวนผลการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของกลุ่มบริษัทฯ
  • มอบหมายให้ประธานกรรมการมีอานาจแต่งตั้ง ปรับเพิ่ม และ/หรือลด คณะทำงาน ได้ตามความจำเป็น
  • เชิญพนักงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมประชุมเพื่อให้ข้อคิดเห็นในการพิจารณาวาระต่างๆ ตามความจำเป็น

คณะทำงานย่อยสนับสนุนและผลักดันการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แบ่งออกเป็น 6 กลุ่มงาน โดยมีบทบาทหน้าที่ดังนี้

1. Sub – Task Force Climate Policy & Strategy

บทบาทหน้าที่

  • ติดตาม ศึกษา และวิเคราะห์ผลกระทบปัจจัยเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) ตลอดจนความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) ในมิติด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • กำหนดกลยุทธ์ขอบเขต เป้าหมาย และวิธีการดำเนินงานด้านกลยุทธ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตลอดจนจัดทำแผนป้องกัน และมาตรการบรรเทาผลกระทบที่มีต่อบริษัทและกลุ่ม SpringX
  • ติดตาม รวบรวม วิเคราะห์กลั่นกรอง ผลักดันแผนงานและ ผลการดำเนินงาน และตัวชี้วัด ตลอดจนสร้างความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วน ทั้งในบริบทการดำเนินธุรกิจปัจจุบัน และธุรกิจที่จะเกิดขึ้นใหม่ผ่านการพิจารณาโครงการการลงทุน โดยให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ และแผนงานการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของบริษัท และกลุ่ม GPSC ทั้งระยะสั้นและระยะยาว

2. Sub – Task Force GHG Account

บทบาทหน้าที่

  • จัดทำ สูตร และแนวทางการคำนวณการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกี่ยวข้องกิจกรรมของบริษัทฯ และกลุ่ม GPSC
  • รวบรวมและจัดเตรียมบัญชีการปลดปล่อย และแหล่งการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ และกลุ่ม ในกิจกรรมทางธุรกิจปัจจุบัน และประเมินสถานการณ์การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคตตามแผนธุรกิจเทียบกับเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของบริษัทฯ และกลุ่ม GPSC ตลอดจนการจัดเตรียมข้อมูล ESG ตาม GRI Standard
  • บัญชีการปลดปล่อย และแหล่งการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ และกลุ่ม ในกิจกรรมทางธุรกิจปัจจุบัน และประเมินสถานการณ์การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคตตามแผนธุรกิจเทียบกับเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของบริษัทฯ และ กลุ่ม GPSC ตลอดจนการจัดเตรียมข้อมูล ESG ตาม GRI Standard
  • บัญชีการปลดปล่อย และแหล่งการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ และกลุ่ม ในกิจกรรมทางธุรกิจปัจจุบัน และประเมินสถานการณ์การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในอนาคตตามแผนธุรกิจเทียบกับเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของบริษัทฯ และ กลุ่ม GPSC ตลอดจนการจัดเตรียมข้อมูล ESG ตาม GRI Standard

3. Sub – Task Force Climate Finance & Account

บทบาทหน้าที่

  • ประเมินผลกระทบจากข้อกำหนดต่างๆที่เกี่ยวข้องกับด้านบัญชีและการเงิน เพื่อประเมินความเสี่ยงต่อธุรกิจและหาแนวทางตอบสนอง รวมถึงจัดทำสมมติฐานแบบจำลอง (หากมีข้อมูลเพียงพอ)
  • ศึกษาเครื่องมือทางการเงิน (Financial Instrument) ที่เกี่ยวข้องกับการลดการปลดปล่อย ก๊าซเรือนกระจก เช่น Green Bond, Climate Fund, Green Loan
  • ศึกษา วิเคราะห์ มาตรการทางการเงินที่เกี่ยวข้องจากการการผลักดันการลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก สำหรับบริษัทฯ และกลุ่ม GPSC
  • ศึกษาเรื่องมาตรฐานบัญชีและมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่มีผลกระทบ เพื่อจัดเตรียมข้อมูลให้เป็นไปตามข้อกำหนด ขอการออกงบการเงิน

4. Sub – Task Force Innovation & Technology

บทบาทหน้าที่

  • ศึกษาให้ข้อแนะนำ ข้อเสนอแนะ และจัดทำข้อมูลสนับสนุนด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยีด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั้งในและต่างประเทศ
  • ติดตาม ประสานและสนับสนุนข้อมูลเพื่อร่วมกำหนดนโยบายและแผนกลยุทธ์ในการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ บริษัทฯ และกลุ่ม GPSC ร่วมกับ Sub – Task Force ต่างๆ

5. Sub – Task Force REC and Carbon Credit Management

บทบาทหน้าที่

  • ติดตาม ศึกษา และวิเคราะห์ผลกระทบจากสถานการณ์และแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวกับการขึ้นทะเบียน REC Certificate และการซื้อขาย REC และคาร์บอนเครดิต
  • จัดทำข้อมูลสำหรับขึ้นทะเบียน REC Certificate การซื้อขาย REC และคาร์บอนเครดิต
  • ศึกษาโอกาสทางธุรกิจและความต้องการของลูกค้าที่เกี่ยวข้องกับ Green Certificate ต่างๆ
  • สรุปผลและรายงานผลการดำเนินงาน

6. Sub – Task Force PR & Communication

บทบาทหน้าที่

  • สนับสนุน และดำเนินกิจกรรมการสร้างความรู้และความตระหนักด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายในองค์กรเพื่อสร้างวัฒนธรรมองค์กรอย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง
  • สนับสนุน สื่อสาร ประชาสัมพันธ์ รายละเอียดโครงการ และผลการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งภายในและภายนอกองค์กร
  • วิเคราะห์มุมมองของนักลงทุน นักวิเคราะห์ ที่เกี่ยวข้องกับภาพของความยั่งยืน เพื่อกำหนด กลยุทธ์การสื่อสารที่เหมาะสม

คุณอาจสนใจเมนูที่เกี่ยวข้องอื่นๆ

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม / โคเจนเนอเรชั่น / พลังความร้อน

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม / โคเจนเนอเรชั่น / พลังความร้อน

โรงไฟฟ้าพลังความร้อนร่วม / โคเจนเนอเรชั่น / พลังความร้อน